วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ปี ใ ห ม่

MusicPlaylistView Profile
Create a playlist at MixPod.com


ส่งท้ายคนเก่า ต้อนรับคนใหม่

 

H A P P Y N E W Y E A R

ตามจารีตประเพณีของไทยแต่โบราณ ถือเอาวันแรมหนึ่งค่ำ เดือนอ้าย (เดือนหนึ่ง) เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับคติทางพระพุทธศาสนา ที่เริ่มฤดูหนาว (เหมันต์) เป็นจุดเริ่มต้นของปีต่อมา จารีตดังกล่าวได้แปรเปลี่ยนไปตามคติของพราหมณ์ ซึ่งใช้วันขึ้นหนึ่งค่ำเดือนห้าเป็นวันขึ้นปีใหม่ ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดเป็นการนับวัน เดือน ปี แบบจันทรคติ คือการใช้การโคจรของดวงจันทร์เป็นเกณฑ์
ต่อมาเมื่อทางราชการเปลี่ยนมาใช้แบบสุริยคติ คือใช้ดวงอาทิตย์เป็นเกณฑ์ จึงได้ถือเอา วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ เริ่มใช้เมื่อปี พ.ศ. 2432
วันขึ้นปีใหม่ของนานาอารยประเทศ ใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งเป็นการนับตามสุริยคติ เมื่อประเทศไทยซึ่งเดิมใช้วันแรมหนึ่งค่ำ เดือนอ้าย ของไทย เป็นวันขึ้นปีใหม่ นับว่าเป็นห้วงระยะเวลาใกล้เคียง กับวันที่ 1 มกราคม จึงเห็นว่าการที่ใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยเป็นการเหมาะสมดังนี้
ตามทางดาราศาสตร์ การกำหนดอาศัยหลัก 2 ประการ คือ ใช้หลักวันที่ดวงอาทิตย์ อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากที่สุด ซึ่งจะตกประะมาณ วันที่ 22 ธันวาคม อีกประการหนึ่งใช้หลักวันที่ดวงอาทิตย์ อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมากที่สุด ซึ่งจะตกประมาณวันที่ 20 มีนาคม ประเทศไทยเคยใช้หลักประการแรกมาก่อน คือใช้เดือนอ้าย แรมหนึ่งค่ำ ซึ่งใกล้เคียงกับวันที่ 22 ธันวาคม
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ได้ทรงอธิบายไว้เป็นใจความว่า ฤดูหนาวเป็นเวลาที่พ้นจากมืดฝน สว่างขึ้นเหมือนเวลาเช้า โบราณจึงถือเป็นต้นปี ฤดูร้อนเป็นเวลาสว่างเต็มที่เหมือนเวลากลางวัน โบราณจึงถือเป็นกลางปี ส่วนฤดูฝนเป็นห้วงเวลาที่มืดครื้ม เหมือนกลางคืน โบราณจึงถือเป็นปลายปี จึงได้เริ่มเดือนหนึ่งที่เดือนอ้าย และไทยโบราณถือการเริ่มข้างแรมเป็นต้นเดือน
มีผู้ค้นพบว่า คติที่นับวันใดวันหนึ่งในห้วงระยะเวลาระหว่างวันที่ 21 เดือนธันวาคม ถึงวันที่ 1 เดือนมกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่นี้ เป็นคติเก่าแก่ของชนชาติที่อยู่ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ หรือสุวรรณภูมิ ด้วยเหตุผลที่พออธิบายได้ว่าในระยะเวลาดังกล่าวนี้ เป็นเวลาที่แลเห็นดวงอาทิตย์มีขนาดโตที่สุด และเป็นเวลาที่อากาศเริ่มเย็นสบาย หลังจากที่หมดฤดูฝนแล้ว ประเทศไทยเราอยู่ในย่านกลางของพื้นที่ดังกล่าว จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชาติไทยเราได้มีวันขึ้นปีใหม่ตามคติดังกล่าวมาแต่โบราณกาล
จากการตรวจสอบในห้วงระยะเวลา 30 ปี จากปี พ.ศ. 2453 ถึงปี พ.ศ. 2483 พบว่าวันแรมหนึ่งค่ำ เดือนอ้าย เมื่อเทียบกับวันทางสุริยคติแล้วจะอยู่ในเดือนธันวาคม และส่วนใหญ่จะอยู่ห่างจากวันที่ 1 มกราคม ไม่เกิน 10 วัน ห่างกันมากที่สุด 30 วัน และห่างน้อยที่สุดเพียง 2 วัน เท่านั้น
อินเดียในสมัยโบราณก็ได้เคยใช้วันที่ 1 เดือนมกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่มาแล้ว เรียกว่ามกรสงกรานต์ การที่อินเดียในยุคต่อมาใช้เดือนจิตรมาส หรือเดือนเมษายน เป็นต้นปีนั้น มีที่มาจากฝ่ายเหนือของอินเดีย เพราะในพื้นที่บริเวณดังกล่าว เดือนเมษายนเป็นเดือนที่ลมฟ้าอากาศดีที่สุด มติได้แผ่เข้ามายังชนชาวไทย โดยพราหมณ์นำเข้ามาอิทธิพลของลัทธิพราหมณ์ในครั้งนั้น สูงมากพอจนทำให้ไทยเราหันไปใช้ตามแบบ พราหมณ์ในหลาย ๆ เรื่อง รวมทั้งวันขึ้นปีใหม่ด้วย โดยนับเดือนห้าเป็นต้นปี ทำให้เราต้องขึ้นปีใหม่ 2 ครั้ง คือขึ้นหนึ่งค่ำ เดือนห้า และวันสงกรานต์ ซึ่งจะเลื่อนไปมาในแต่ละปีไม่แน่นอน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ทรงเห็นความลำบากในกรณีดังกล่าว เมื่อไทยต้องมีการติดต่อกับ ต่างประเทศมากขึ้น ดังนั้น เมื่อปี พ.ศ. 2432 วันขึ้นหนึ่งค่ำ เดือนห้า ไปตรงกับวันที่ 1 เดือนเมษายน พอดี จึงได้มีประกาศบรมราชโองการ ให้ถือวันที่ 1 เดือนเมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยตั้งแต่นั้นมา
ประเทศไทยได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่มาเป็นวันที่ 1 เดือนมกราคม เมื่อปี พ.ศ. 2484 ด้วยเหตุผลทั้งมวลที่ได้กล่าวมาแล้ว และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ บรรดานานาประเทศ ได้ใช้วันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ ทำให้สมประโยชน์แก่ประเทศไทยด้วยประการทั้งปวง
 
ความหมายความหมายของวันขึ้นปีใหม่ ตามพจนานุกรม ฉบับราชตบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำว่า " ปี" ไว้ดังนี้ ปี หมายถึง เวลา ชั่วโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งราว 365 วัน : เวลา 12 เดือนตามสุริยคติ

ความเป็นมา
ในอดีต วันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 4 ครั้งคือ ครั้งแรกถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่ง ตรงกับเดือนมกราคม ครั้งที่ 2 กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน

การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ใน 2 ครั้งนี้ ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา

อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่อยู่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ไม่สู้จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก สมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2477 ขึ้นในกรุงเทพฯเป็นครั้งแรก


การจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ 1 เมษายน ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อๆ มา และในปี พ.ศ.2479 ก็ได้มีการจัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า วันตรุษสงกรานต์

ต่อมาได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งมีหลวงวิจิตรวาทการเป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม 2484 เป็น วันขึ้นปีใหม่เป็นต้นไป
เหตุผลที่ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายนมาเป็นวันที่ 1 มกราคม ก็คือ
1. ไม่ขัดกับพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ
2. เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา
3. ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก
4. เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย

กิจกรรมที่ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะยึดถือปฏิบัติในวันขึ้นปีใหม่ได้แก่
1. การทำบุญตักบาตร โดยอาจตักบาตรที่บ้าน หรือไปที่วัดหรือตามสถานที่ต่างๆที่ทางราชการเชิญชวนไปร่วมทำบุญ
2. การกราบขอพรจากผู้ใหญ่ และอวยพรเพื่อนฝูง การมอบของขวัญ การมอบช่อดอกไม้ หรือการส่งบัตรอวยพร
3. การจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องหรือตามหน่วยงานต่างๆ

วันขึ้นปีใหม่นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้ทบทวนถึงการดำเนินชีวิตในอดีต เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีตให้ดีขึ้น

กิจกรรม
วันที่ 1 มกราคมของทุกปี จะมีการทำบุญตักบาตรและอุทิศส่วนกุศลผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ฟังเทศน์ ปล่อยปลา ปล่อยนก อวยพรซึ่งกันและกัน หรืออาจจะส่งการ์ดบัตรอวยพร ของขัวญไหว้ผู้ใหญ่เพื่อรับพร และสรงน้ำพระพุทธรูป ประดับธงชาติ และจะเตรียมทำความสะอาดบ้าน และที่พักอาศัย

วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553

@ เ พ ลิ น วา น

เอาละ อย่างที่บอกไว้ว่า ให้คอยติดตามดูกันว่าเราจะไปไหนกัน วันนี้เรากลับมาแล้ว และเราขอนำเสนอก่อนเรย ด้วยPIC อิอิ :)

เราไปกันตั้งหลายที่แหนะ  สถานีรถไฟหัวหิน เค้าสวย ...
ทะเลหัวหินเค้าว่างาม...........
และที่สุดท้ายที่เราไป แทนทะแลนแทน แทน แทน แท๊น แทน แท้นนนนนน!

เพลินวาน
งามไหมละจ๊ ? เดินทางเหนื่อยมากเรยวันนี้พอแค่นี้แหละ ไปแระ บะบาย ยยยย

วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สอบเสดแร้วววววววว ^_____^

สอบเสดแล้ววว  ทำไมสอบแต่ละครั้ง ช่างยาวนานเหลือเกิน ไม่รู้หรือไงว่ามันขี้เกียด!!! 55555

แต่ตอนนี้เรียบร้อยแล้ววว ต่อไปก้อได้เวลาลั้ลล้า แต่จริงๆ เราก็ลั้ลล้า กันทุกวันอยู่แล้ว  แต่

คราวนี้คงพิเสดกว่าทุกครั้งเพราะไปตั้งไกล แหนะ ! แต่จะขออุบไว้ก่อนดีกว่าว่าจะไปไหนกัน ยัง

ไงก้อติดตามดูละกันน่ะน่ะค่า เวลาที่สาวๆๆลั้ลล้า มันมีความสุขแค่ไหน


----------------> ติดตามชมตอนต่อไป :)

วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

@Siamparagon ~Merry x' mas





4 หัว ใจ แห่ง ขุน เขา ❤

เรื่องย่อธาราหิมาลัย (ย่อสั้น)

          โชคชะตาชักพาให้แพทย์หญิงทิพย์ธารา ลูกสาวคนเล็กและคนเดียวในบรรดาแฝดสี่แห่งไร่อดิศวรรังสรรค์ต้องมาดูแลภูวเนศ คนไข้ที่ถูกทำร้ายจนสูญเสียความทรงจำเพราะความสงสาร เธอจึงให้เขาไปทำงานในไร่ของพี่ชาย ความรักของทั้งสองก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ โดยพี่ชายจอมแสบทั้งสามที่หวงน้องสาวสุดชีวิตก็ไม่ระแคะระคาย

          หากอุปสรรคความแตกต่างระหว่างชนชั้นที่คิดว่าเขาเป็นเพียงคนงานในไร่กลับเป็นเรื่องเล็กไปถนัดใจ เมื่อคนไข้นิรนามของเธอเป็นถึงเจ้าชายรัชทายาทแห่งปารวัตร หญิงต่างชาติอย่างทิพย์ธาราจะสามารถแหวกม่านประเพณีของปารวัตรเพื่อครองคู่ กับชายที่เธอรักได้อย่างไร



เรื่องย่อดวงใจอัคนี (ย่อสั้น)

          ความบาดหมางของสองตระกูลที่ถ่ายทอดจากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูกทำให้อัคนีและอัจจิมาเป็นศัตรูคู่แค้นกันมาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อทั้งคู่เข้ามาบริหารฟาร์มโคนมของตนซึ่งมีเพียงรั้วไม้สีขาวกั้นอาณาเขต การปะทะคารมอย่างรุนแรงจึงเกิดขึ้นอยู่เนือง ๆ แท้จริงแล้ว ภายใต้ท่าทีอันแข็งกร้าวของทั้งสองคนนั้นซ่อนความห่วงใยซึ่งกันและกันไว้

          แต่แล้วเหตุการณ์ต่าง ๆ ก็นำพาให้ทั้งคู่ได้เผยความรู้สึกต่อกัน ติดอยู่ที่ก้างชิ้นใหญ่คือพ่อของฝ่ายหญิงที่ไม่ยอมละทิฐิยอมรับว่าที่ลูกเขยคนนี้แล้วอัคนีจะทำเช่นไร เพื่อให้ได้ดวงใจที่เขาแสนรักมาครอบครอง



เรื่องย่อปฐพีเล่ห์รัก (ย่อสั้น)

          จู่ ๆ ปฐพี หนุ่มเจ้าแผนการ เจ้าของธารารินรีสอร์ตก็มีตัวป่วนเข้ามาเติมสีสันในชีวิต ชะเอม สาวเจ้าเล่ห์วางแผนเข้ามาสร้างความโกลาหลในรีสอร์ตของชายหนุ่มด้วยเหตุผลบางอย่าง เขา...มีความสุขที่ได้จับตาดูว่าแม่ตัวยุ่งจะป่วนรีสอร์ตของตนอย่างไร

          เธอ...ต้องปฏิบัติภารกิจที่หมายมาดจนสำเร็จให้จงได้...ถึงแม้จะมีคนบางคนคอยตลบหลังก็เถอะ จากคอยจับผิดกลายเป็นความเคยชิน จากความเคยชินก่อตัวเป็นความรัก เมื่อหนุ่มเจ้าแผนการเจอกับสาวเจ้าเล่ห์อะไรจะเกิดขึ้น



เรื่องย่อวายุภัคมนตรา (ย่อสั้น)

          ทิชากร...นักเขียนนิยายโรมานซ์เจ้าของนามปากกา ฮัมมิ่งเบิร์ด ลูกสาวอดีตหมอไสยเวทฝีมือฉกาจตัดสินใจไปหาข้อมูลสำหรับนิยายเรื่องใหม่ของตน ที่ไร่องุ่น หญิงสาวไม่เคยคิดเลยว่าชะตาชีวิตของเธอจะเปลี่ยนแปลงเมื่อได้พบหน้าวายุภัค ...เพลย์บอยหนุ่มเจ้าของไร่องุ่นสายลม ทั้งยังเป็นการพบกันที่ไม่โสภาเท่าไรนัก

          ในสายตาของวายุภัค ทิชากรคือจอมจุ้น เพ้อเจ้อ หาก...ไม่รู้ ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่เขารู้สึกว่าสาวช่างฝันคนนี้เข้ามาจุ้นจ้านอยู่ในหัวใจจนไม่สามารถปล่อยเธอไปได้ จะเป็นไปได้ไหม ถ้าสายลมจะหยุดพัดที่ใต้ปีกของนกน้อยตัวนี้

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ของขวัญวันคริสต์มาส

 
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง ในฝรั่งเศส มีเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อว่า พิคโคลา เธอเป็นเด็กหญิงที่น่าสงสารเพราะเธอไม่มีพ่อ เธออยู่กับแม่เพียง 2 คน ทั้งสองนั้นยากจนมาก เชื่อไหมครับว่าหนูน้อยพิคโคลาไม่เคยมีตุ๊กตาหรือของเล่นชนิดใดๆ เลย ชีวิตของเธอส่วนใหญ่ต้องต่อสู้กับความหนาวและความหิว
วันหนึ่ง คุณแม่ของหนูน้อยพิโคลาล้มป่วยจนลุกไม่ได้ หนูน้อยพิคโคลาจึงต้องทำงานทุกอย่างในบ้านเอง และต้องพยายามใช้เวลาให้มากที่สุดที่จะมากได้ ในการถักถุงเท้าให้เสร็จ เพื่อจะนำไปขายให้ได้เงินมาซื้ออาหารให้แม่และตนเอง น่าสงสารจริงๆ นะ ขณะที่นั่งถักถุงเท้าเพื่อเอาไปขาย หนูน้อยพิโคลาไม่มีถุงเท้าที่จะสวมใส่ จนเท้าทั้งสองข้างของเธอมีสีคล้ำๆ เนื่องมาจากความเย็น
วันคริสต์มาสใกล้เข้ามา หนูน้อยพิคโคลาพูดกับคุณแม่ว่า "คุณแม่คะ ปีนี้คุณตาซานตาคลอส จะเอาอะไรมาให้เป็นของขวัญของหนูก็ไม่ทราบนะแม่? หนูไม่มีถุงเท้าที่จะแขวนไว้ที่เตาผิงเสียด้วยสิคะ เอ..หนูว่าหนูจะเอารองเท้าไม้วางไว้ที่หน้าเตาผิงแทน คงจะได้นะคะ"
"ลูกรักจ๊ะ แม่ว่าปีนี้เราอย่าพูดกันเรื่องของขวัญเลยนะ" แม่พูด "ถ้าเพียงแต่เรามีขนมปังแต่พอกินเราก็ควรจะดีใจมากๆแล้ว" แต่หนูน้อยพิคโคลาไม่ยอมเชื่อว่าคุณตาซานตาคลอสจะลืมเธอ
ถึงเย็นวันคริสต์มาส พิคโคลาเอารองเท้าไม้ข้างหนึ่งของเธอไปวางไว้ที่พื้นหน้าเตาผิง แล้วจึงไปนอนด้วยความคิดว่า จะฝันหาคุณตาใจดีอ้วนๆใส่เสื้อสีแดง หนวดขาวๆ นั่งล้อเลื่อนลากด้วยกวางเรนเดียคนนั้น
คุณแม่นั้นเล่า มองไปที่รองเท้าแล้วเศร้าใจ เพราะไม่รู้ว่าจะหาอะไรมาให้ลูก และคิดไปว่าลูกน้อยคงผิดหวังมากในตอนเช้า ถ้าไม่เห็นอะไรในรองเท้า แต่คุณแม่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่นั่งถอนใจ
เช้าวันต่อมา หนูน้อยพิคโคลาตื่นนอนแต่เช้า รีบวิ่งไปยังรองเท้าไม้ข้างนั้น ในรองเท้านั้น พิคโคลาเห็นดวงตาแจ๋วแหววคู่หนึ่งกำลังจ้องมายังเธอ
อา...ใช่แล้ว มันเป็นตาของนกกระจอกเล็กๆ ตัวหนึ่ง (ซึ่งหนีความหนาว บินลงมาทางปล่องไฟ แล้วมานอนอยู่ในรองเท้าไม้หน้าเตาผิงนั้น) พิคโคลาดีใจเป็นที่สุด อุ้มนกน้อยขึ้นไปไว้ที่ทรวงอก ร้องเพลงและเต้นรำไปมาด้วยความยินดี
ดูนี่ซิคะ ดูนี่ซิคะ คุณแม่ขา" เธอพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น "ของขวัญคริสต์มาสของหนูอยู่นี่ไงคะ คุณตาซานตาคลอสเอามาให้หนู" พิคโคลาเต้นระบำไป ร้องเพลงไปอย่างมีความสุข พร้อมกับโอบอุ้มนกน้อยในอุ้งมือลูบไล้มันไปมาเบาๆ
ตลอดฤดูหนาวอันยาวนานนั้น เธอเฝ้าทนุถนอม เลี้ยงดูนกกระจอกตัวนั้นเป็นอย่างดี เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ เธอเปิดหน้าต่างและปล่อยมันบินออกไป นกบินไปยังป่าใกล้ๆนั้น แต่มันไปแล้วไม่ไปลับ มันชอบที่จะบินกลับมาร้องด้วยเสียงอันไพเราะที่หน้าบ้านของหนูน้อยพิคโคลาเสมอๆ
 

Merry x' mas


          ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

          เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม

องค์ประกอบในงานคริสต์มาส

 ซานตาครอส
                                        


          เป็นสิ่งแรกๆ ที่คนจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส ซึ่งว่ากันว่าซานตาคลอสคนแรก คือ นักบุญ (เซนต์) นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 และเหตุที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นซานตาครอสคนแรก มาจากวันหนึ่งที่ท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี
          นักบุญนิโคลัส นั้นเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม เอาไว้ ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลัสก็เปลี่ยนเป็น ซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราชก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนและใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติของเขา

          ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียงตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย อาทิ ความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง

 ถุงเท้า
 


          จากที่นักบุญนิโคลัสได้ปีนขึ้นไปบนปล่องไฟของบ้านเด็กหญิงยากจน เพื่อที่จะมอบเหรียญเงินให้เป็นของขวัญ แต่เหรียญนั้นกลับตกไปอยู่ในถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้หน้าเตาผิง พอรุ่งเช้าเด็กหญิงตื่นมาเจอเหรียญเงินในถุงเท้าจึงดีใจมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ผู้คนมากมายต่างพากันแขวนถุงเท้าคริสต์มาสไว้ เพื่อหวังจะได้รับของขวัญเช่นเดียวกันบ้าง

 ต้นคริสต์มาส
                                         


          นอกจากนี้อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือ ต้นคริสต์มาส ซึ่งต้นคริสต์มาสก็คือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยลูกแอปเปิ้ลและขนมปังเพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท และก็ได้มีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยจนมาถึงการประดับด้วยดวงไฟหลากสีสัน ขนม และของขวัญ อย่างในทุกวันนี้ การตกแต่งแบบนี้ต้องย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก
          โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ที่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก และอีกเหตุผลที่ใช้ต้นสนก็เพราะว่ามันหาง่าย

          ในสมัยโบราณนั้นต้นคริสต์มาส หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า อีกทั้งความสว่างของพระองค์ยังเหมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด และรวมถึงความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส

 ต้นฮอลลี่




          ต้นฮอลลี่ เป็นต้นไม้พุ่มเตี้ย และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส เชื่อกันว่า สีเขียวของต้นฮอลลี่มีความหมายถึง การมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ และมีความสัมพันธ์กับพระเยซู โดยผลสีแดงของต้นฮอลลี่นั้นหมายถึงหยดเลือดของพระเยซูที่ไหลลงบนไม้กางเขน ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความรักที่มีต่อพระเจ้า ใบไม้ที่มีหนามของต้นฮอลลี่เป็นสิ่งที่เตือนพวกเราถึงมงกุฏหนามที่พวกชาวทหารโรมันได้นำมาวางไว้บนศีรษะของพระเยซูคริสต์

ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์

เผยโฉมหน้าให้เห็นผ่านตากันไปหลายครั้งแล้ว กับนางเอกลูกครึ่งคนใหม่ของช่อง 3 ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์  จากตัวอย่างละครเรื่อง กุหลาบไร้หนาม ละครแรงที่คนดูรอชม  ที่แม้ละครจะยังไม่ออนแอร์ แต่นางเอกคนนี้มาแรงจริงๆ
สำหรับ ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์ นั้นเป็นลูกครึ่งไทย-นอร์เวย์ อายุเพียง  17 ปี ศึกษาอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อินเตอร์) ที่มีนักแสดงสาว แอน ทองประสม เป็นดาราในดวงใจ

ญาญ่า อุรัสยา เริ่มเข้าวงการด้วยการเป็นนางแบบ รวมทั้งมีงานอย่างต่อเนื่องทั้ง ถ่ายโฆษณา ถ่ายแบบนิตยสาร แต่ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีก็คงจะเป็น ละครจากช่อง 3 อย่าง เพื่อนซี้ล่องหน ที่ประกบกับพระเอกหนุ่ม ต๊ะ วริษฐ์ ทิพย์โกมุท โดยในเรื่องนี้ ญาญ่า รับบทเป็น ส้ม พี่สาวของ โจ๊ก (น้องพี มกจ๊ก) ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ญาญ่ากลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น





กุหลาบไร้หนาม
ประวัติ ญาญ่า อุรัสยา สเปอร์บันด์
ชื่อจริง : อุรัสยา เสปอร์บันด์
ชื่อเล่น : ญาญ่า
เชื้อชาติ : ไทย-นอร์เวย์
เกิด : 18 มีนาคม พ.ศ.2536
งานอดิเรก : ขี่ม้า, ว่ายน้ำ, ดูหนัง, อ่านหนังสือ
ดาราที่ชื่นชอบ : แอน ทองประสม
การศึกษา :
มัธยมศึกษา โรงเรียนบางกอกพัฒนา
อุดมศึกษา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อินเตอร์)
ผลงานที่ผ่านมา :
นางแบบ
ถ่ายโฆษณา
ถ่ายแบบนิตยสาร
ละคร บ้านก้านมะยม
ละคร เพื่อนซี้ล่องหน
ผลงานล่าสุด :
ละคร ดวงใจอัคนี
ละคร กุหลาบไร้หนาม
ขอบคุณข้อมูลจาก
urassaya.ob.tc
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก นิตยสารดิฉัน,  ช่อง 3 magazinedee.com
ที่มาจาก http://women.kapook.com/view14525.html

วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แด่...ดำหมาที่รัก

ไม่คิดว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้าย ที่ได้เล่นกับดำ ........


ดำเป็นหมาบ้าน สีดำ ตัวเล็กๆ มันแก่แล้ว ขาหลังก้อไม่ดี มันไม่กัด มันเป็นหมาที่น่ารัก เป็นหมาอีกตัวในบ้านฉันที่ฉันมาก ที่สุดเรยก้อว่าได้ มันขี้อ้อน แต่มาพักหลัง มันไม่ค่อยกินข้าว ที่นมมันมีก้อนแข็งๆ เรยพาไปให้หมอดู หมอบอกเป็นเนื้องอก ต้องผ่าตัด


ตอนแรกฉันก้อคิดว่า แค่เอาเนื้องอกออกเด่วก้อหาย วันที่ไปผ่า ฉันก้อลูบหัวดำ แล้วบอกว่าสู้ๆ แต่ฉันไม่ได้ไปด้วย พอตอนเย็นผ่าตัดเสร็จก้อได้เวลาไปรับดำ ฉันก้อไม่ไปได้รับดำ หรอก เพราะฉันคิดว่า เด่วดำก้อต้องกลับมา พอพ่อกับแม่ กลับมา ฉันก้อดีใจ รีบไปหาดำ แต่สีหน้าทุกไม่ยิ้มเรย แม่ก้อร้องไห้ ฉันเรยถามหาดำ  ฉันได้คำตอบกลับมาว่า ดำยังไม่ฟื้น หมอยังไม่ให้เอากลับ ในใจฉันคิดว่า ให้หมอดูก้อได้ เด่วค่อยไปเยี่ยม แต่ทำแม่ต้องร้องไห้ด้วย แต่เห็นพ่ออธิบาย ว่า ดำนอนอยู่ในห้องผ่าตัด เนื้อตัวเต็มไปด้วยสายให้น้ำเกลือ สายออกซิเจน ไม่รู้ว่าคืนนี้จะรอดหรือเปล่า ฉันได้ยินถึงกับอึ้ง ฉันเสียใจ :( ได้แต่วิ่งขึ้นห้องไปร้องไห้ ไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตา


พอรุ่งเช้าฉันกะว่าจะไปหาดำ แต่ฉันเหนพ่อกับแม่จะไปรับดำพอดี แต่เหนแม่ใส่ชุดดำ ฉันเรยถามมว่า หมอโทรมาให้ไปรับแล้วหรอ ในใจยังดีใจมากกว่าที่ได้เจอดำ แต่สิ่งที่ฉันได้ยิน คือ หมอโทรมาบอกว่า ดำตายแล้ว เมื่อคืน ! ทำไม ทำไม !!! ทำไม ไม่มีไคบอกฉัน  ทำไมฉันถึงไม่ได้เจอดำ ไม่ได้เยี่ยมดำ บ้าง ทำไม!


ตกเย็นเรยมาฝังศพดำ ดำน่าสงสารมาก นอนตัวแข็ง และเลือดไหล มันคงเจ็บน่าดู T_T


ขอให้ดำไปสู่สุคติ  ~ รักดำน่ะ

การจากลา

ความรัก กับ การจากลา
เมื่อความรักถึงที่สุดก็ต้องมีบทสรุปว่า จะอยู่
หรือ จะไป ถ้าอยู่กันต่อไป
ก็จะยินดีด้วย แต่ถ้าต้องต่างคนต่างไป
แบบ ใส่ คอนเวิรด์ ก็ ซอรี่ ด้วยนะ

แต่ตอนนี้เราลองมาดูว่าคำบอกเลิกที่มาตฐานที่คนนิยม
บอกกัน มีอะไรบ้าง
คุณดีเกินไป (แบบอมตะ)
เป็นพี่น้องกันนะ (ต้องการความอบอุ่น)
เป็นเพื่อนกันนะ (ยังเหลือสายใยดี ดีไว้)

เราเลิกกันเถอะ (อย่างนี้ต้องมีเหตุผลต่อด้วย)
ฉันคงไม่ดีพอสำหรับเธอ (ยอมรับคนเดียว)
ไปเถอะถ้าคนนั้นดีพอ (ผู้เสียสละ)

เราไปด้วยกันไม่ได้หรอก (ความจริง ตรง ตรง)
เรื่องของเรามันจบแล้ว (เซ็งเต็มที่แล้วนะนี่)
มีเขาไม่มีฉัน มีฉันต้องไม่มีเขา ( - )
(ไม่รู้จะทำอย่างไร...เฮ้อ)

บางครั้งการจากลากันก็ไม่จำเป็นต้องมีคำพูด ใด ใด เพียงแค่ ต่างคน ต่างเงียบ ให้เวลา และระยะทางช่วยในการจากลา ทั้งที่ตั้งใจ และไม่ตั้งใจ  และเมื่อเรามาถึงวันนั้น
วันที่ต้อง จากลา

ก็ต้องทำใจเพื่อจะได้เริ่มใหม่ให้มั่นคงกว่าเดิม โดยใช้ความผิดพลาดในวันเก่า เอามาเป็นบทเรียนสอนใจ ในวันใหม่ ให้สดใสกว่าวันที่ผ่านไป ก็ขอเป็นกำลังใจให้อยู่สู้ต่อไป

ความรัก กับ ความผิดหวัง
เมื่อบอกลากันแล้วฝ่ายถูกบอกเลิก หรือคนที่อกหัก จะรู้สึกอย่างไรกับความรัก และแน่นอนว่าต้องเป็นไปในทางที่ไม่ดี จนถึงไม่ดีมากที่สุดเลย

ซึ่งแต่ละคนก็รู้สึกแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับ สถานการณ์ นิสัยของแต่ละคน และ ปริมาณความรักที่มีให้แก่กัน และ อีกหลาย หลาย อย่าง ที่เกี่ยวข้องกับ

ความรักของคน คนนั้น 
คนที่อกหัก คิดถึงเค้าตลอดเวลา (รักฝังลึก)
อยากตาย (ไม่มีเค้าไม่รู้จะอยู่ไปทำไม)
แค้นนี้ต้องชำระ (ยิ่งรักยิ่งแค้น)
เมื่อเราไม่ได้คนอื่นก็ต้องไม่ได้ (ของ ของใครให้มันรู้)
ไม่ตายก็หาใหม่ได้ (แผ่นดินไม่สิ้นไร้เท่าใบพุทรา)

พลาดได้ไง (วางแผนมาอย่างดีแล้วนะนี่)
อกหักไม่ยักกะตาย (อกหักเป็นเรื่องธรรมชาติ)
ให้เค้ามีความสุข
 ดีกว่าทุกข์อยู่กับเรา (ยอมเจ็บเพื่อคนที่เรารัก)

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แอ๊บ แบ๊ว

ดวงตา
จากที่เคยมี ลูกตาขนาดปกติไม่ว่าขนาดใดก็ตาม คนที่”แอ๊บแบ๊ว” จะมีดวงตากลมบ้องแบ๊ว เกิดประกายวิบวับขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ (สันนิษฐานว่าเป็นที่มาของคำว่าแอ๊บแบ๊วนั่นเอง) ถ้านึกภาพไม่ออก แนะนำให้ไปดูเอ็มวี เพลง ปู ของเนโกะจั๊มพ์ อะโนโนโน่ อย่างนี้ไม่ดี.. ช็อตทื่สองสาวเล่นกับ กล้อง นั่นแหละใช่ เลย!

อุปกรณ์เสริมความแบ๊วในข้อนี้ได้แก่
ที่ดัดขนตา, มาสคาร่า และอายไลเนอร์ ที่จะช่วยขับให้ตาแบ๊วขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์เดี๋ยวนี้มีคอนแท็คเลนส์ประเภทเพิ่มขนาดลูกตาดำด้วย..แม่เจ้า แต่มีข้อแม้ว่าควรมีทักษะในการเสริมแต่งนิดนึง เพราะเคยเห็นสาวๆหลายคนทามาสคาร่าหนาเป็นปื้น ขนตาจับเป็นก้อนๆเหมือนขาแมลงวัน อันนั้นออกแนวสยองแล้วล่ะค่ะ เมื่อตาโตขึ้นแล้ว อวัยวะข้างเคียงที่จะมีผลกระทบก็คือ คิ้ว ที่จะเลิกขึ้นนิดๆ หัวคิ้วจะหดเข้าหากันนิดนึง นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้คนแอ๊บแบ๊วมีสีหน้าดูสงสัย ไร้เดียงสาอยู่ตลอดเวลา สายตาแบบนี้เพื่อนชายหลายคนของอิชั้นสารภาพว่าเห็นแล้วถึงกับร้องอ๊าง
สาวคนไหนจะลองทำตาแบ๊วดูก็ไม่ว่ากันค่ะ

 แก้ม
อยากรู้จังว่าใครคือมนุษย์คนแรกที่ตัดสินว่า ผู้หญิงแก้มป่องคือผู้หญิงน่ารัก แก้มป่องจึงเป็นอาการแบ๊วอันดับสองที่ขาดไม่ได้ ลำพังคนที่ แก้มป่องเป็นธรรมชาติก็ถือเป็นโชคดีของเค้าไปค่ะ แต่สำหรับคนที่แก้ม ตอบ โหนกปูด กรามสองข้างทำมุมฉากซึ่งกันและกัน เราก็จะได้เห็นอาการพยายามอมลม ไว้ในปาก แล้วดันกระพุ้งแก้มให้ป่องออกมาจนกระทั่งดูน่าหยิกเล่น (อิชั้นเคยลองดูแล้ว รู้สึกเหมือนอมน้ำยาบ้วนปากแล้วลืมบ้วนทิ้ง) คนที่แอ๊บแบ๊วจนชำนาญก็จะขนาดแก้ม ที่ป่องกำลังดีดูน่ารัก แต่สำหรับแบ๊วมือใหม่หลายคนก็พลาด กะไซส์แก้มผิด ป่องเป็นปลาทองรักเร่ หรือไม่ก็ชิพกับเดลล์ เพิ่งผ่าฟันคุด ก็ถือว่าต้องฝึกกันอีกเยอะ… ไม่ต้องกังวล เพราะถ้าแก้มยังทำให้คุณดูแบ๊วไม่สมใจละก็..  ปาก ยังช่วยคุณได้ ค่ะ


 ปาก
ไม่ว่าตามปกติใครจะมีริมฝีปากไซส์อ้อมพิยดา หรือจอยรินลณี ปากของ สาวแอ๊บแบ๊วจะถูกกำหนดให้มีริมฝีปากบนบางๆ แล้วยกเชิดขึ้นจนเห็นฟันคู่หน้านิดๆ แบบอั้มพัชราภา/แตงโม/เมย์พิชนาฏ/ กิ๊บซ่า กิ๊บซี่ เกิร์ลลี่เบอรี่และดาราอีกเป็นสิบคน ที่ถ่ายรูปลงหนังสือกี่เล่มๆก็ทำปากแบบเดิมได้ตลอดเวลา

ส่วนริม ฝีปากล่างขณะแอ๊บแบ๊วนั้นมีข้อบังคับว่า ห้ามเผยอออกมาจนห้อยย้อยแบบ โน๊ต เชิญยิ้ม เด็ดขาด แต่ต้องเกร็งไว้นิดๆเบะคางให้ดูคล้ายแอบงอนใครมาหน่อยนึง และทีเด็ดคือต้องยิงมุมปากให้เบี้ยวไปข้างที่ถนัดข้างใดข้างหนึ่งพอประมาณ หน้าแบ๊วที่ออกมาจะดูแก่น เซี้ยวแสนซน และทำให้แอบคิดไปเองได้ว่า “ตอนนี้เราหน้าเหมือนโฟร์แล้วล่ะตะเอง..” อย่าลืม รักษารูปปากไว้ตลอดเวลาที่พูดคุยด้วยนะคะ เสียงที่ออกมาจะได้อ้อม แอ้ม พูดไม่ชัด น่ารักน่าถีบ เอ๊ย! น่าจีบ ขึ้นอีกจมเลย

 เสียง
เสียงเป็นอาการทางกายภาพข้อสุดท้ายของโรคแอ๊บแบ๊ว เสียง มาตรฐานการแอ๊บแบ๊วคือเสียงเล็กๆ อู้อี้นิดๆ อ้อนหน่อยๆ ประมาณ น้องเบเบ้ หรือ จิ๊บ ปกฉัตร อะไรแถบๆนี้ ใครที่เคยสอบอ่านร้อยแก้วร้อยกรองแล้วได้คะแนนเต็มมา อาจจะต้องไป ตัดปลายลิ้นตัวเองก่อน จึงจะออกเสียงแบ๊วๆแบบนี้ได้ น้ำเสียงที่นิยมแอ๊บแบ๊ว คือ level ตั้งแต่ 2 เป็นต้นไป ทำอย่างไรก็ได้ให้ผิดอักขระวิธีให้มากที่สุด เช่น
จริงเหรอ ออกเสียงเป็น จิ๊ง-ง๋ออออออ??
ใช่ไหม เป็น ชิเมะ? / ชิป้ะ? / ชิม้า? / ชิมิ?
ไม่เอา เป็น มิอาวววว
คือว่า,เอ่อ เป็น คึ่ บั่บ / คึ่แบ๊บ / เอิ่ม / อึ่มมม
บ้า เป็น บร๊า …….. (อย่าลืมกระดกเสียงขึ้นไป 2 octave)
อะไรน่ะ เป็น อึ่หล่ายอ้ะ? เป็นต้น

 ตัวอย่างประโยค
“อ้าว สวัสดีแก ไม่ได้เจอกันนานมาก คิดถึงสุดๆ ไปกินข้าวที่สยามกันมั้ย เดี๋ยวพี่ชายเราไปส่งล่ะ” เป็น
“ฮั้ย! สัสดีแกร..มะได้เจ๊อกึนนานม๊ากกก คิดถึ่งซูดซู๊ดดด ไปกินค๊าวที้ซึ่หย่ามกึนเมะเด๋วพี๊..ชายเราป้ะส่งแหละ” ฯลฯ
ตะเองเค้าหิวเข้าจางลุยอ่า พาเค้าไปกินเข้าหน่อยจิ นะนะ รึว่าตะเองไมjอย่ากไปกินเข้ากาบเค้าซิมิ ก้อดุยไปคนเดวก้อดุย บะบุย




MusicPlaylist

เคล็บลับหน้าใสด้วย 4 สูตร

 
เคล็ดลับหน้าใสที่ผู้หญิงทุกคนอยากจะมี วันนี้มี 4 สูตรหน้าใสมาฝากเป็นเกร็ดความรู้และเคล็ดลับให้ลองทำ

1. สูตรเพิ่มความสดชื่นเปล่งปลั่งให้กับผิวหน้า
ให้ท่านล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจนสะอาด จากนั้นนำแอปเปิ้ลที่ยังไม่ปลอกเปลือกครึ่งผลมาปั่นพอละเอียด แล้วนำมาพอกหน้าเว้นเปลือกตา ทิ้งไว้ประมาณ 25 นาที แล้วล้างออก

2. สูตรลดริ้วรอย ทำให้หน้านวลใส ให้นำแอปเปิ้ลครึ่งผลมาปั่นพอละเอียด จากนั้นก็มะนาวมาคั้นเอาแต่น้ำประมาณ 1 ช้อนชาใส่ลงไป แล้วผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำมาพอกให้ทั่วหน้า เว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออก

3. สูตรหน้าเด้ง ไม่หยาบกร้าน นำโยเกิร์ต 3 ช้อนโต๊ะมาผสมกับมะเขือเทศลูกเล็ก ๆ ประมาณ 3 ลูก ปั่นโยเกิร์ตกับมะเขือเทศพอละเอียด แล้วนำมาพอกหน้าให้ทั่ว โดยเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก

4. สูตรขัดหน้าขาว และลดริ้วรอยหมองคล้ำ
นำโยเกิร์ต 1 ถ้วย แล้วผสมกับเกลือป่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะผสมให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า แล้วขัด ๆ ถู ๆ ให้ทั่ว ขัด 5 นาที ทิ้งไว้อีก 5 นาที แล้วล้างออก ทำเดือนละครั้งกำลังดี คล้ายๆ กับการสครับหน้านั้นเอง


ที่มาจาก  ThaiHealth

วิ ธี แ ก้ เ ซ็ ง~

ต้องมีบางครั้งที่คุณรู้สึกเบื่อหน่าย  เซ็งชีวิต  วันทั้งวันไม่อยากออกไปไหน  ไม่อยากพบหรือคุยกับคราย  ทางที่ดีหาไรทำให้สนุกๆดีกว่าคร่ะ
1. เปิดเพลงแดนซ์เต้นกระจายให้สนุกสุดเหวี่ยง
2.  นอนแช่น้ำในอ่างกุดซี่  ถ้าไม่มีก็อาบน้ำให้ตัวเหี่ยวไปเลยแล้วเปิดเพลงคลอเบา ๆ ให้สายน้ำซะล้างเอาความเบื่อและอารมณ์เซ็งออกจากตัวให้หมด
3. เดินไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมาย  หรือนั่งรถเมล์เล่นจนสุดสายแล้วนั่งกลับ  บางทีสองข้างทางที่คุณผ่านอาจทำให้คุณเพลินและเห็นอะไรใหม่ ๆก็ได้
4. เปิดน้ำใส่อ่างให้เต็ม   จากนั้นก็จุ่มหน้าตัวเองลงไหและร้องตะโกนให้สุดเสียง  กรี๊ดออกมาให้สะใจ  เป็นการระบายอารมณ์ที่เก็บกดช่วยให้คุณโล่งใจขึ้นได้
5.  ออกเที่ยวกับเพื่อนสุดเลิฟ  ไปเล่นน้ำทะเลหรือขึ้นรถไฟเหาะดรีมเวิล์ดก็ได้ เอาให้มันสุดๆ ไปเลย
6.  โทรหาคนที่คุณแอบรักมานาน  บอกความรู้สึกที่คุณมีต่อเขาไปเลย  อาจจะดูบ้าไปหน่อย  ถ้าไม่ใช้เวลานี้บอกแล้วตอนไหนคุณจะกล้าบอกล่ะ
7.  เขียนจดหมายถึงคนที่คุณไม่ได้ติดต่อเป็นเวลานานแล้ว
8.  เรืองที่ผัดวันประกันพรุ่งมานาน  ก็ทำมันเสียวันนี้เลย
9.  เข้าร้านเสริมสวย  แปลงโฉมตัวเองเป็นคนใหม่ให้สวยเช้งกว่าเดิมเลย
10.  ออกไปอ่านหนังสือให้คนตาบอด  ได้บุญด้วยนะจ๊ะ
11.  เข้าวัดถวายสังฆทาน  ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร  รับรองว่าคุณจะสบายใจขึ้นแน่นอน
12. ตอนนี้คุณอยากทำอะไรมากที่สุด  ลงมือทำได้เลย

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

5 เคล็ดลับการอ่านหนังสือสอบ

1. คนที่อ่านหนังสือคนเดียวมักจะเสียเปรียบ คนที่อ่านเป็นกลุ่มมักจะได้เปรียบ เนื่องจากอ่านคนเดียวอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน หรืออ่านไม่ตรงจุด หรือ(บางคน)อาจอ่านไม่รู้เรื่อง ถ้าอ่านเป็นกลุ่มโอกาสอ่านผิดจุดจะยากขึ้น และยังพอช่วยกันฉุดได้
   ** แต่วิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับคนชอบแชตนะค่ะ อิอิ
2. ควรอ่านเองที่บ้านก่อน 1 รอบ และจับกลุ่มติว เสร็จแล้วกลับไปอ่านทบทวนเองที่บ้านอีก 1 รอบ (ต้องรับผิดชอบตัวเอง)
3. ผลัดกันติว ใครเข้าใจเรื่องใดมากที่สุดก็ให้เป็นผู้ติว ข้อสำคัญ อย่าคิดแต่จะเป็นผู้รับอย่างเดียว จงคิดว่าเป็นผู้ให้ก่อน แล้วคนอื่น (ถ้าไม่แล้งน้ำใจเกินไป) ก็จะให้ตอบเอง
4. ผู้ติวจะได้ทบทวนเนื้อหา และจะรู้ว่าตัวเองขาดอะไร บกพร่องอะไร จากคำถามของเพื่อนที่สงสัย บางครั้งเพื่อนก็สามารถเสริมเติมเต็มในบางจุดที่ผู้ติวขาดหายได้
5. การติวจะทำให้เกิดการ Share ความคิด และฝึกวิธีทำงานร่วมกับผู้อื่น ช่วยพัฒนาทั้งด้าน IQ และ EQ (อ่านเองจะพัฒนาแต่ IQ)
เป็นยังไงบ้างคะ กับวิธีอ่านหนังสือที่เน้นการจับกลุ่มซะหน่อยนึง  แต่ลองทำดูสิ  อาจจะได้ผลนะ
ที่มา
aommee

~QR CORD~

code namwarn  " WELCOME "

สิ่งดีดี ที่เรียกว่า รัก

สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตเรา...ก้อคือชีวิตเรา
สิ่งที่มีค่าที่สุดในหัวใจเรา...ก้อคือหัวใจเรา
อย่าเอาชีวิตทั้งชีวิตไปยกให้ใคร
อย่าเอาใจทั้งใจไปยกให้ใครคนเดียว
อย่ายกสิ่งที่มีค่าที่สุดของเราไปให้ใครดูแล
เพราะไม่มีใคร...ที่จะดูแลมันได้ดีไปกว่าตัวเราเอง
อย่าปิดกั้นความรู้สึกของหัวใจ
อย่าบอกว่าเราเกิดมาเพื่อจะรักคน ๆ เดียว
คนใจแคบเท่านั้นที่เกิดมาเพื่อที่จะรักคนได้คนเดียว เราสามารถที่จะรักใครได้มากมาย ขอเพียงให้รู้จักหน้าที่ของความรัก หน้าที่ที่จะปฏิบัติต่อคนที่เรารัก
รักต่างแบบ...ปฏิบัติในหน้าที่ต่างกัน แล้วเมื่อวันใดวันหนึ่งคนบางคนไม่แยแสกับความรักที่เรามีให้ เราก็ยังคงเหลือใครต่อใครอีกมากมายและไม่เห็นจะต้องเจ็บเจียนตาย
ถ้าเรามั่นใจ...ว่าเราทำหน้าที่ให้กับรักนั้นสมบูรณ์และเต็มที่แล้ว
ถ้าอากาศร้อนอบอ้าว...ลองออกมายืนคุยกับแสงแดด
อากาศหนาวแทบขาดใจ...ลองออกมาหาไออุ่นลมหนาว
ราจะรู้ว่าร้อนหรือหนาวก็ต่อเมื่อเราได้ไปสัมผัสกับมัน
ก็เหมือนกับความรัก .... ถ้าอยากรู้ว่ารสชาดเป็นอย่างไรก็ต้องไปสัมผัสกับมัน แต่อย่าทรมานตัวเองโดยการออกไปยืนตากแดดนาน ๆ หรือยืนต้านทานลมหนาว ถ้ารู้ว่าร้อนนักก็หลบหาที่ร่ม ถ้ารู้ว่าหนาวก็ก่อเตาผิง
^_^ความรักจะไม่ทำร้ายเรา ถ้าเราไม่ทำร้ายตัวเอง^_^
...ถ้าคุณรู้จักรัก..แสงแดดจะทำให้คุณอบอุ่น ลมหนาวก็จะทำให้คุณหลับสบาย...เป็นความรักที่เราให้กับเพื่อน  เม่  พ่อ ของเราก็ได้ ไม่จำเป็นที่ต้องให้กับแฟนหรอก

วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

การยิ้ม ^________^



ยิ้มกว้างเปิดเผย
การยิ้มที่สามารถมองเห็นฟันของคนยิ้มได้อย่างชัดเจน นิสัยใจคอของคนที่มีกิริยาอาการยิ้มแบบนี้ บ่งบอกถึงการเป็นคนกระตือรือร้นอยู่เสมอ ทั้งยังเป็นคนที่ชอบการแสดงออกเอามาก ๆ หากได้รับมอบหมายให้ทำการใด ๆ ในกลุ่มคนจำนวนมาก ก็จะสามารถทำได้ดี โดยไม่มีอาการเก้อเขินหรือเอียงอายใด ๆ ทั้งสิ้นและยังคบหากับคนทั่วไปได้โดยง่ายนอกจากนี้ยังเป็นคนที่ชื่นชอบการแต่งตัวมาก มักเสียเงินไปกับเรื่องนี้ทีละมาก ๆ โดยไม่เสียดายเลย : )

ยิ้มเม้มปาก
การยิ้มในลักษณะนี้ จะไม่เห็นฟันของคนยิ้ม มีเพียงรูปปากที่แย้มออกเท่านั้นที่บอกว่าเขากำลังยิ้มอยู่ สำหรับอุปนิสัยของคนที่มีการยิ้มแบบนี้นั้น ออกจะเป็นคนที่ระมัดระวังตัวสูงอยู่สักหน่อย แถมยังมีโลกส่วนตัวมาก ๆ อีกด้วย ชอบที่จะอยู่คนเดียวมากกว่า จึงมีน้อยคนที่จะสามารถเข้าหาจนถึงขั้นสนิทสนมด้วยได้ นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง รักสันโดษชอบใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติอย่างเช่นในชนบท มากกว่าในเมืองใหญ่ : )

ยิ้มปุ๊บปั๊บ
คนที่มีลักษณะการยิ้มแบบเร็ว ๆ แล้วก็หุบยิ้มเสีย จะว่าไปก็คือการยิ้มที่ไม่ได้ออกมาจากใจจริงซักเท่าไหร่ แต่เป็นการยิ้มตามมารยาทมากกว่า ส่วนลักษณะนิสัยของคนที่มีการยิ้มเช่นนี้ บ่งบอกถึงการเป็นคนที่มีพลังกระฉับกระเฉงอยู่ตลอดเวลา และจะตื่นเต้นได้ง่ายกับสิ่งเร้าใจที่แปลก ๆ ใหม่ ๆ แต่ในขณะเดียวกัน ก็จะเป็นคนที่สับสนได้ง่ายกับสิ่งที่คลุมเครือ เพราะจะเป็นคนที่ค่อนข้างใจร้อนและชอบในความชัดเจนมากกว่า : )

ยิ้มยั่วยวน
ยิ้มแบบยั่วยวนนั้น ส่วนใหญ่มักจะมีให้เห็นในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในนิตยสารแฟชั่นต่าง ๆ แต่ว่ารอยยิ้มของเหล่านางแบบนั้น อาจแสร้งทำขึ้นมาเพื่อความเหมาะสมกับท่าทางและเสื้อผ้า แต่ทว่าสำหรับคนที่มีรอยยิ้มเช่นนี้อย่างแท้จริงนั้น นิสัยมักจะเป็นคนที่ชอบจนถึงขั้นหลงใหลในเรื่องความรักเป็นพิเศษ และยังชอบเพ้อฝันกับเรื่องสวย ๆ งาม ๆ มากกว่าที่จะสนใจความเป็นจริงของชีวิต จึงมักมีความสามารถสูงในเรื่องเกี่ยวกับความสวยงามหรือศิลปะ : )

ยิ้มมุมปาก
ลักษณะการยิ้มที่เป็นเพียงแค่กระตุกมุมปากเสียหน่อย เหมือนไม่ค่อยเต็มใจจะยิ้มสักเท่าไหร่นั้น บ่งบอกถึงอุปนิสัยที่เป็นคนค่อนข้างเข้าใจยากทีเดียวเพราะมักจะมีความซับซ้อนในตัวเองสูง อารมณ์แปรเปลี่ยนรวดเร็ว แต่ว่าก็จะเป็นคนที่มีความคิดลึกซึ้งคมคาย เพียงแต่อาจแปลกและแตกต่างจากคนทั่วไปมาก จนบางทีคนอื่นถึงกับตามไม่ทัน นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการเป็นนักจิตวิทยา ที่พูดจาปลุกเร้าผู้คนจำนวนมากได้ไม่ยากเลย : )

ยิ้มตาหยี
สำหรับคนที่เวลายิ้มแล้วตามักจะหยีหรือย่นนั้นบ่งบอกถึงนิสัยของการเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเอามาก ๆ เพราะถึงแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างไร ก็จะยังสามารถหัวเราะได้อย่างน่าแปลกใจทีเดียวนอกจากนี้ ยังบ่งบอกถึงการเป็นบุคคลที่มีอารมณ์ขัน ชอบทำให้คนรอบข้างยิ้มแย้มอยู่เสมอ และยังเป็นคนที่สามารถนำประสบกาณณ์ของตนมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้อย่างมีคุณค่าแทบทุกเรื่อง เรียกว่าไม่มีวันเสียหละ ที่จะปล่อยให้ประสบการณ์ไร้ประโยชน์ : )

ยิ้มเยือกเย็น
สำหรับบุคคลที่มีรอยยิ้มอันเยือกเย็นนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากหรอกนะ เพราะเพียงแค่ยิ้มออกไป คนที่มองอยู่รู้สึกได้ไม่ยากถึงความเย็นจากรอยยิ้มนั้น ส่วนอุปนิสัยของคนที่มีรอยยิ้มเช่นนี้ ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะเป็นคนที่บุคลิกน่าเชื่อถือและไว้วางใจให้เห็นเป็นอันดับแรก แต่ลึก ๆ ลงไปข้างใน จะเป็นคนที่ไม่เชื่อมั่นใจตัวเองอย่างไม่น่าเชื่อทีเดียว ทั้งยังเป็นคนที่ซื่อเอามาก ๆ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมซับซ้อนกับใครเขาเลย และมีความเป็นนักประนีประนอมสูงอีกด้วย : )